วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประวัติ เนย์มาร์

เนย์มาร์
เนย์มาร์ ดา ซิลวา ซังตุส ฌูนีโอร์ (โปรตุเกส: Neymar da Silva Santos Júnior; เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992) หรือรู้จักกันในชื่อ เนย์มาร์ เป็นนักฟุตบอลชาวบราซิล ปัจจุบันเล่นอยู่กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาและฟุตบอลทีมชาติบราซิลในตำแหน่งกองหน้า
ในฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ ในการแข่งขันรอบแรกนัดสุดท้าย เนย์มาร์เป็นผู้ยิงประตูแรกให้แก่บราซิล ที่พบกับแคเมอรูนในนาทีที่ 17 ซึ่งประตูนี้นับเป็นประตูที่ 100 ของทีมชาติบราซิล และนับเป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดที่ 100 ของบราซิลอีกด้วย[2]
แต่ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่บราซิลพบกับโคลอมเบีย แม้บราซิลจะเป็นฝ่ายชนะไป 2-1 ซึ่งเนย์มาร์ก็สามารถทำประตูได้ด้วย แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังถึงขั้นร้าวเมื่อปะทะกับฮวน กามีโล ซูญีกา กองหลังของโคลอมเบียที่กระโดดเข้าใส่ที่หลัง ทำให้ต้องหยุดเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ ซึ่งในรอบต่อมาบราซิลก็เป็นฝ่ายแพ้ต่อเยอรมนีไปถึง 1-7 ประตู ทำให้หมดสิทธิที่จะผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ
ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2014 เนย์มาร์ ได้ยิง 2 ประตูแรกในลาลีกา ฤดูกาล 2014–15 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ แอทเลติกบิลบาโอ 2-0 ต่อมา ในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2014 เนย์มาร์ ทำประตูที่ 3 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เลบันเต 5-0 ต่อมา ในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2014 เนย์มาร์ ทำแฮตทริกให้กับบาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ กรานาดา 6-0 ต่อมา ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 2014 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 เนย์มาร์ ทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่ปาร์กเดแพร็งส์ 2-3

เนย์มาร์ ลงเล่นให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่เจอกับ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ
ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เนย์มาร์ ทำประตูที่ 7 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเยิร์นมิวนิก 3-0 ต่อมา ในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ ทำประตูที่ 22 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 2-0 ต่อมา ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 เนย์มาร์ ได้ยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ บาเยิร์นมิวนิก ที่อัลลิอันซ์อาเรนา 2-3 ประตูรวม บาร์เซโลนา เอาชนะ บาเยิร์นมิวนิก 5-3 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 โกปาเดลเรย์ รอบชิงชนะเลิศ บาร์เซโลนา เจอกับ แอทเลติกบิลบาโอ ที่สนามกัมนอว์ ของบาร์เซโลนา เนย์มาร์ ทำประตูที่ 7 ในโกปาเดลเรย์ ช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ แอทเลติกบิลบาโอ 3-1 คว้าแชมป์โกปาเดลเรย์ สมัยที่ 27 มาครอง พาทีมคว้าแชมป์ที่สองได้สำเร็จ
ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ บาร์เซโลนา เจอกับ ยูเวนตุส ที่สนามโอลึมเพียชตาดิโยน ในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เนย์มาร์ ทำประตูที่ 10 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ ยูเวนตุส 3-1 คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 5 มาครอง พาทีมคว้าทริปเปิลแชมป์ได้สำเร็จ จบฤดูกาล 3 ประสาน MSN (เมสซี่, ซัวเรซ และ เนย์มาร์) ยิงประตูรวมทั้งหมด 122 ประตู ทำลายสถิติ 118 ประตูของ เรอัล มาดริด (คริสเตียโน โรนัลโด, กอนซาโล อีกวาอิน และ การีม แบนเซมา ในฤดูกาล 2011-12)

ประวัติ แจ็ก วิลเชียร์

แจ็ก แอนดรูว์ แกร์รี วิลเชียร์ (อังกฤษ: Jack Andrew Garry Wilshere) เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1992 เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ซึ่งเขาถือเป็นผลงานของการฝึกสอนของสถาบันสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล เขาเล่นในตำแหน่งกองกลางและยังร่วมเล่นกับฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ
วิลเชียร์ได้เข้าร่วมกับสถาบันสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2001 ขณะที่อายุได้ 9 ปี หลังจากที่เข้ร่วมเล่นกับสโมสรฟุตบอลลูตันทาวน์เป็นเวลา 2 เดือน[5][6] และเมื่ออายุ 15 ปี เขาเป็นกัปตันทีมอายุไม่เกิน 16 ปี และยังเล่นบางนัดในทีมอายุไม่เกิน 18 ปี ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2007 วิลเชียร์เป็นส่วนหนึ่งของทีมชนะเลิศแชมเปียนส์ยูทคัป ต่อมาโค้ชของสถาบันสโมสร สตีฟ เบาลด์ ได้ให้เขาเริ่มเล่นกับทีมอายุไม่เกิน 18 ปี ครั้งแรกโดยแข่งกับสโมสรฟุตบอลเชลซี อายุไม่เกิน 18 ปี[7] เขาทำประตูแรกในการแข่งกับสโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา อายุไม่เกิน 18 ปี ในชัยชนะ 4–1[8] จากนั้นยิงแฮตทริก ในการแข่งกับสโมสรฟุตบอลวัตฟอร์ตอายุไม่เกิน 18 ปี ได้ทำให้ทีมชนะในแอคาเดมีกรุ๊ปเอ[9] จบฤดูกาลกับทีมอายุไม่เกิน 18 ปี เขาทำประตู 13 ประตู ในการลงแข่งขัน 18 นัด เมื่อเขาอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น[10]
เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 เขาลงแข่งเปิดตัวในฐานะทีมสำรองอาร์เซนอล เมื่ออายุ 16 ปี โดยแข่งกับเรดดิง วิลเชียร์ทำประตูให้กับการแข่งขันที่อาร์เซนอลได้ประตูเดียว สุดท้ายคือผลเสมอ[11] เขาทำประตูในนัดแข่งกับทีมสำรองของเวสต์แฮมในเดือนมีนาคม โดยยิงบอลโค้งเข้าไปในกรอบประตูบน ซึ่งอาร์แซน แวงแกร์ได้จับตามองดูอยู่[12] เขาทำประตู 2 ประตูและช่วยส่งทำประตู 2 ประตู ในการลงแข่งเพียง 3 ครั้งให้กับทีมสำรองในปลายฤดูกาล 2007-08 เขาลงเล่นในทีมชุดอายุไม่เกิน 16 ปี นำชัยชนะในถ้วยอะตาแลนตาคัป และได้ตำแหน่งผู้เล่นแห่งการแข่งขันครั้งนี้ไปด้วย[13] เขามีบทบาทสำคัญในการแข่งขันของอาร์เซนอล ในชุดเอฟเอฟยูทคัป 2009 โดยทำประตูในรอบรองชนะเลิศ[14] และทำให้เขาเป็นผู้เล่นแห่งนัด ในการแข่งขันครั้งแรกกับลิเวอร์พูล เขาช่วยทำประตู 2 ประตูและยังทำประตูได้อีก[15]
วิลเชียร์กำลังอุ่นเครื่อง ก่อนลงแข่งกับ เวสตบรอมมิชอัลเบียน

ฤดูกาล 2008–09

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 วิลเชียร์ได้รับเลือกให้เล่นให้ทีมชุดใหญ่ ในนัดกระชับมิตรก่อนเปิดฤดูกาล เขาเล่นเปิดตัวในทีมแรกโดยแข่งกับสโมสรฟุตบอลบาร์เนต ลงแทนที่เฮนรี ลันส์บูรี ในครึ่งหลัง ช่วงส่งลูกให้เจย์ ซิมป์สัน ยิง[16] วิลเชียร์ทำ 2 ประตูแรกในนัดที่อาร์เซนอลชนะ บูร์เกนลันด์ XI ไป 10–2 และอีกครั้งในสองวันต่อมาในนัดกระชับมิตร แข่งกับสตุตการ์ต
ผู้จัดการทีมอาร์เซนอล อาร์แซน แวงแกร์ ให้โอกาสวิลเชียร์ลงแข่งในทีมแรก ในการเป็นผู้เล่นในฤดูกาล 2008–09[17] โดยเขาได้ใส่เสื้อเบอร์ 19 ซึ่งเขาใส่เบอร์นี้มาจนถึง ณ วันนี้[18] เขาลงแข่งครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก โดยแข่งกับสโมสรฟุตบอลแบล็กเบิร์นโรเวิร์ส ที่อีวูดพาร์ก ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2008 ลงแข่งแทนการเปลี่ยนตัวโรบิน ฟาน เพอร์ซี ในนาทีที่ 84[19] ด้วยอายุ 16 ปี กับอีก 256 วัน ทำให้เขาเป็นผู้เล่นอาร์เซนอลที่อายุน้อยที่สุดในการลงแข่งครั้งแรก โดยสถิติก่อนหน้านี้เป็นของ เซสก์ ฟาเบรกัส[20] หลังจากนั้น 10 วัน เมื่อวันที่ 23 กันยายน วิลเชียร์ทำประตูแรกให้กับอาร์เซนอลในชัยชนะ 6–0 เหนือสโมสรฟุตบอลเชฟฟิลด์ยูไนเต็ด ในฟุตบอลลีกคัป[21] เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 วิลเชียร์ลงเปลี่ยนตัวแทนในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดเจอกับสโมสรฟุตบอลดีนาโมเคียฟ (Dynamo Kyiv) กลายเป็นผู้เล่นอายุ 16 ปี คนที่ 5 ที่ได้ลงแข่งในแชมเปียนส์ลีก[22] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 วิลเชียร์เซ็นสัญญาฟุตบอลอาชีพครั้งแรก[23] โดยสัญญาถึงเดือนกรกฎาคม ในปีนั้น[24]

ฤดูกาล 2009–10

ในช่วงระหว่างเตรียมตัวสำหรับฤดูกาล 2009–10 วิลเชียร์ทำประตู 2 ครั้งและได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งนัดให้กับอาร์เซนอล ในนัดกระชับมิตรในเอมิเรตส์คัป เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 2009 เขาลงเล่นกับอาร์เซนอล ในชัยชนะเหนือสโมสรฟุตบอลเวสต์บรอมมิชอัลเบียน ในลีกคัป 2–0 โดยในนาทีที่ 37 เกิดข้อพิพาทระหว่างเขากับเจโรม โทมัส โดยโทมัสผัสหน้าของวิลเชียร์ และได้รับใบแดงไป[25]

ยืมตัวไปโบลตันวันเดอเริร์ส

ในวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2010 วิลเชียร์ได้แข่งในพรีเมียร์ลีก ร่วมกับสโมสรฟุตบอลโบลตันวันเดอเริร์ส ในการยืมตัวไปจนจบฤดูกาล 2009–10[26] เขาลงแข่งในลีกครั้งแรกโดยเป็นทีมเยือน แข่งกับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ และทำประตูแรกให้กับโบลตัน เป็นประตูแรกในพรีเมียร์ลีกของเขา และวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2010 ชนะสโมสรฟุตบอลเวสต์แฮมยูไนเต็ด 2–1[27] เขาสร้างความประทับใจให้กับทีมโบลตัน และทางโบลตันพยายามที่จะเซ็นสัญญายืมตัวเขาอีกฤดูกาล แต่ก็ไม่สำเร็จ[28]

ฤดูกาล 2010–11

วิลเชียร์ในนัดเจอกับเบอร์มิงแฮมซิตี เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2010
ในฤดูกาล 2010–11 ถือเป็นฤดูกาลแจ้งเกิดของวิลเชียร์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 2010 วิลเชียร์เริ่มเล่นในนัดพรีเมียร์ลีกครั้งแรกกับอาร์เซนอล โดยพบกับลิเวอร์พูล ที่สนามแอนฟิลด์[29] ในสุดสัปดาห์ถัดมาแข่งกับสโมสรฟุตบอลแบล็กพูล โดยเขาเป็นคนช่วยจ่ายลูกยิงประตู เมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2010 วิลเชียร์ลงการแข่งขันในแชมเปียนส์ลีกครั้งแรก ได้ช่วยจ่ายลูกยิงและมีผลงานการเล่นที่น่าประทับใจ[30] วิลเชียร์ได้เป็นผู้เล่นอาร์เซนอลแห่งเดือนกันยายน ค.ศ. 2010[31] เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2010 วิลเชียร์ได้ใบแดงครั้งแรกในเกมพรีเมียร์ลีก ในนัดเจอกับสโมสรฟุตบอลเบอร์มิงแฮมซิตี จากการปะทะกับนีกอลา ซีกิช[32]
เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2010 วิลเชียร์ทำประตูแรกในแชมเปียนส์ลีก โดยชิปข้าม อันดรีย์ ปีอาตอฟ (Andriy Pyatov) ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม ในรอบแบ่งกลุ่มที่เจอกับสโมสรฟุตบอลชาคห์ตาร์โดเนตสค์ ชนะไป 5-1[33] เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 วิลเชียร์ได้เซ็นสัญญาระยะยาวฉบับใหม่[34] เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 วิลเชียร์ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดอาร์เซนอลพบสโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา ชนะไป 4–2 วิลเชียร์ได้รับคำชมในผลงานที่แข่งกับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา โดยทีมชนะไป 2-1 ในนัดนี้เขาส่งผ่าน 93.5% โดย 91% เกิดขึ้นใน 1 ใน 3 ส่วนของสนาม ในแดนคู่แข่ง[35][36][37] ผู้จัดการทีมอาร์เซนอลอาร์แซน แวงแกร์ พูดถึงผลงานครั้งนี้ของเขาว่า "โดดเด่น"[38] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 วิลเชียร์ได้รับรางวัลผู้เล่นดาวรุ่งแห่งปีจากสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ และยังอยู่ในรายชื่อทีมแห่งปีของฤดูกาล 2011 ของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมอื่นของอาร์เซนอล ซาเมียร์ นาสรีและบาการี ซาญา

Marco Reus

มาร์โค รอยส์ (เยอรมัน: Marco Reus, เสียงอ่าน: [ˈmaɐ̯koː ˈʁɔʏ̯s]; เกิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1989) ในเมืองดอร์ทมุนด์ เป็นนักฟุตบอลชาวเยอรมนี ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหน้าและ ปีกให้กับโบรุสเซียดอร์ทมุนด์ในบุนเดสลีกาและฟุตบอลทีมชาติเยอรมนีชุด ปัจจุบัน รอยส์ถือว่าเป็นนักเตะเยอรมนีที่มีความเร็วและการเลี้ยงบอลหลบคู่ต่อสู้ กับมีทักษะกับเทคนิคเฉพาะตัวที่สามารถหลอกคู่ต่อสู้ได้ดีเยี่ยม