ยุง
ยุง เป็นแมลงที่พบได้ทั่วโลกแต่พบมากในเขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยปกติ ตัวเมียมักจะกินเลือดเป็นอาหาร ส่วนตัวผู้มักจะกินน้ำหวานในดอกไม้ ยุงยังเป็นแมลงที่เป็นพาหะแพร่เชื้อโรคอีกด้วย เช่น ไข้เลือดออก ยุงทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 3,450 ชนิด แต่พบในประเทศไทยประมาณ 412 ชนิด แต่ที่คุ้นเคยกันดี คือ ยุงก้นปล่อง (Anopheles) และยุงลาย (Aedes)[1][2]
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
หมา
หมาบ้าน
บรรพบุรุษ และที่มาของความเชื่อง
วิวัฒนาการด้านโมเลกุลของสุนัขชี้ให้เห็นว่าสุนัขเลี้ยงนั้น (Canis lupus familiaris) สืบทอดมาจากจำนวนประชากรหมาป่า (Canis lupus) เพียงตัวเดียวหรือหลายตัว สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งชื่อพวกมัน สุนัขสืบทอดจากหมาป่าและสุนัขธรรมดาสามารถผสมข้ามพันธุ์กับหมาป่าได้ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสุนัขนั้นถูกฝังลึกในด้านโบราณคดีและหลักฐานที่ตรงกันชี้ให้เห็นช่วงเวลาของการทำให้สุนัขเชื่องในยุคหินใหม่ ใกล้ ๆ กับขอบเขตของช่วงเพลสโตซีนและโฮโลซีน ในระหว่าง 17,000 - 14,000 ปีมาแล้ว ซากกระดูกฟอสซิลและการวิเคราะห์ยีนของ สุนัขในยุคอดีตกับปัจจุบัน และประชากรหมาป่ายังไม่ถูกค้นพบ สุนัขทั้งหมดสืบอายุอาจเกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เชื่องด้วยตัวเองหรือไม่ก็ ได้ถูกทำให้เชื่องด้วยตัวมันเองในพื้นที่มากกว่าหนึ่งพื้นที่ สุนัขที่ถูกเลี้ยงให้เชื่องแล้วอาจจะผสมข้ามพันธุ์กับประชากรหมาป่าที่อยู่ ในถิ่นนั้น ๆ ในหลาย ๆ โอกาส กระบวนการนี้รู้จักในทางทางพันธุศาสตร์ว่า อินโทรเกรสชัน (Introgression)
ในยุคแรก ๆ ฟอสซิลสุนัข กะโหลก 2 จากรัสเซียและขากรรไกรล่างจากเยอรมนี พบเมื่อ 13,000 ถึง 17,000 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมันเป็นหมาป่าโฮลาร์กติก (Canis lupus lupus) ซากศพของสุนัขตัวเล็กจากถ้ำของสมัยวัฒนธรรมนาทูเฟียนของยุคหินได้ถูกเก็บไว้ในแถบตะวันออกกลาง มีอายุราว 12,000 ปีมาแล้ว เข้าใจว่าเป็นทายาทมาจากหมาป่าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพศิลปะบนหินและซากกระดูกชี้ให้เห็นว่า เป็นเวลากว่า 14,000 ปีมาแล้วที่สุนัขในที่นี้กำเนิดจากแอฟริกาเหนือข้ามยูเรเชียไปถึงอเมริกาเหนือ หลุมฝังศพสุนัขที่สุสานยุคหินของเมืองสแวร์ดบอร์กในประเทศเดนมาร์กทำให้นึกไปถึงในยุคยุโรปโบราณว่าสุนัขมีค่าเป็นถึงเพื่อนร่วมทางของมนุษย์
การวิเคราะห์ทาง ยีนได้ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เหมือนกันมาจนถึงทุกวันนี้ วิล่า ซาโวไลเนน และเพื่อนร่วมงาน พ.ศ. 2540 สรุปว่าบรรพบุรุษของสุนัขได้แยกออกจากหมาป่าชนิดอื่น ๆ มาเป็นเวลาระหว่าง 75,000 ถึง 135,000 ปีมาแล้ว เมื่อผลการวิเคราะห์ที่ตามมาโดยซาโวไลเนน พ.ศ. 2545 ชี้ให้เห็น เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมจากกลุ่มยีนสำหรับประชากรสุนัขทั้งหมด ระหว่าง 40,000 ถึง 15,000 ปีมาแล้ว ในเอเชียตะวันออก เวอร์จีเนลลี่ พ.ศ. 2548 แนะนำว่าอย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของทั้งคู่จะต้องถูกประเมินผลอีกครั้งในการค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่า นาฬิกาโมเลกุลแบบเก่าที่ใช้วัดเวลานั้นได้กะเวลายุคสมัยของเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาเกินความจริง โดยในความจริง และในการเห็นพ้องกันว่าด้วยเรื่องหลักฐานทางโบราณคดี เป็นเวลาเพียง 15,000 ปีเท่านั้นที่ควรจะเป็นช่วงชีวิตสำหรับความหลากหลายของของสุนัขหมาป่า
สหภาพโซเวียตเคยพยายามนำสุนัขจิ้งจอกมาเลี้ยงให้เชื่อง เช่นในสุนัขจิ้งจอกเงิน และสามารถนำมันมาเลี้ยงได้เพียงแค่ 9 ชั่วอายุของมันหรือน้อยกว่าอายุขัยของมนุษย์ นี่ยังเป็นผลในการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น เช่น สี ที่จะกลายเป็นสีดำ สีขาว หรือสีดำปนขาว พวกมันได้พัฒนาความสามารถในการขยายพันธุ์ตลอดปี หางที่โค้งงอมากขึ้น และหูที่ดูเหี่ยวย่น
ลักษณะทั่วไปและการล่าเหยื่อ
สุนัขเป็นสัตว์ที่มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีลักษณะทั่วไปและลักษณะเฉพาะที่ต่างกันออกไป แต่ลักษณะโดยรวมของสุนัขทั่ว ๆ ไปแล้ว สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ออกลูกเป็นตัว มีขนสั้นหรือยาวแตกต่างไปตามสายพันธุ์ บางตัวอาจมีขนสีดำ สีขาว สีน้ำตาล สีส้ม หรือบางตัวอาจมีหลายสีปะปนกัน ขนาดของหูจะสั้นหรือยาวก็แตกต่างไปตามสายพันธุ์เช่นกัน สุนัขสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ดังนี้สุนัขเล่นกีฬา
สุนัขเล่นกีฬา (Sporting Dogs) เป็นสุนัขพันธุ์ที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นผู้ช่วยในการล่าสัตว์โดยเฉพาะ มีหน้าที่การค้นหาเหยื่อ และนำเหยื่อกลับมาให้เจ้าของ เราสามารถแบ่งสุนัขเล่นกีฬาได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้- สเปเนี่ยน เป็นพันธุ์สุนัขที่มีรูปร่างขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป เฉลียวฉลาด จมูกรับกลิ่นได้ดี ลักษณะเด่นคือหูยาวตูบ แบ่งย่อยได้เป็น 2 กลุ่มคือ พันธุ์ที่ใช้ล่าสัตว์ และพันธุ์ขนาดเล็ก (ปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มสุนัขที่เลี้ยงไว้ดูเล่น) ในขณะที่มันออกล่าสัตว์ เมื่อมันพบเหยื่อ มันจะพุ่งเข้าโจมตีเหยื่อทันที
- พอยน์เตอร์ และเซทเตอร์ เป็นพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าสเปเนี่ยน ขายาว หูตูบ และจมูกรับกลิ่นได้ดี
- รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่เป็นมิตร แข็งแรง มีโครงสร้างดี และ มีความเชี่ยวชาญในการล่าสัตว์ มันถนัด การค้นหา และนำเหยื่อกลับมาให้เจ้าของ มันมักจะทำงานร่วมกับสุนัขพันธุ์สเปเนียน นอกจากนี้ รีทรีฟเวอร์ยังสามารถว่ายน้ำได้ดี มันจึงมักถูกใช้ในการล่าสัตว์ปีกที่บินอยู่เหนือน้ำ เช่น ห่านป่า เป็นต้น
สุนัขเทร์เรียร์
สุนัขเทร์เรียร์ (Terriers) เป็นสุนัขขนาดเล็ก ต้นกำเนิดอยู่ในประเทศอังกฤษ มีนิสัยชอบดมกลิ่น อยากรู้อยากเห็น ตามรอย และขุดหาสิ่งที่สงสัย มันจึงกลายเป็นผู้ช่วยในการล่าสัตว์ สุนัขเทอร์เรียจะทำหน้าที่ตามรอยสัตว์ป่า เช่น กระต่าย หนู แบดเจอร์ หมาป่า เมื่อพบแหล่งที่อยู่อาศัยของเหยื่อ มันจะมุดลงไปในรูนั้น ทำให้สัตว์เหล่านั้นตกใจและวิ่งออกมาจากรัง เพื่อให้คนตามล่าต่อไปแม้เทร์เรียร์จะเป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก ขาสั้น แต่เคลื่อนไหวได้อย่างว่องไว มีความมานะอดทน บากบั่น กล้าหาญ ทำให้มันเคยถูกใช้เป็นสุนัขสงคราม แต่ปัจจุบันนิยมนำมาเลี้ยงเป็นเพื่อนเล่นในบ้าน
สุนัขเทร์เรียร์แยกย่อยได้อีกหลายสายพันธุ์ อาจแบ่งเทร์เรียร์เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามลักษณะของขน ได้แก่
- พันธุ์ขนเรียบและสั้น เช่น ฟอกซ์ เทร์เรียร์ขนสั้น
- พันธุ์ขนหยาบและยาว เช่น สก็อตทิช เทร์เรียร์ และ เคอรีบูล เทร์เรียร์ เป็นต้น
- ฟ็อกซ์ เทร์เรียร์, บูล เทร์เรียร์, แบดลิงตัน และ แมนเชสเตอร์ เทร์เรียร์ จากเกาะอังกฤษ
- สกาย, เครน และ สก็อตทิช เทร์เรียร์ จากสก็อตแลนด์ ไอริช และเคอรีบูล เทร์เรียร์ จากไอร์แลนด์ เป็นต้น
สุนัขทำงาน
สายพันธุ์สุนัขทำงาน (Working dogs) ได้จากการที่มนุษย์พบว่าสุนัขเป็นสัตว์ที่มีความสามารถเกินกว่าที่คาดไว้ มันมีความฉลาด แข็งแกร่ง ว่องไว มานะอดทน สายตาดี และติดตามกลิ่นได้อย่างดีเยี่ยม สุนัขจึงถูกคัดเลือกพันธุ์เพื่อใช้งาน นอกเหนือจากการล่าสัตว์ จึงได้สายพันธุ์นี้ ที่มีลักษณะเด่น แตกต่างกันไปและมีทักษะที่หลากหลายมนุษย์นำสุนัขมาใช้งาน เป็นเวลานับร้อยปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เลี้ยงเพื่อเฝ้ายาม สำรวจหาระเบิดในสงคราม ต้อนฝูงสัตว์ ลากสัมภาระ ตามรอยหาผู้ร้าย และ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ปัจจุบันยังมีสุนัขที่ถูกฝึกเลี้ยงไว้เพื่อเป็นผู้ช่วยตำรวจ นำทางให้กับคนพิการด้านสายตา ตรวจค้นยาเสพติด แก๊สรั่ว วัตถุระเบิด และช่วยเหลือผู้พิการด้านการได้ยินอีกด้วย ตัวอย่างของสายพันธุ์สุนัขตำรวจ ได้แก่ บ็อกเซอร์, พินซ์เช่อร์, โดเบอร์แมน, รอทไวเลอร์ เยอรมันเชพเพิร์ด, เกรดเดน เป็นต้น
ยังมีสุนัขทำงานอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของชาวไร่ชาวนา เช่น คอลลี, พูลิ, โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก, เยอรมันเชพเพิร์ด, เช็ทแลนด์ ชีพด็อก และ คอร์กี้ โดยสุนัขพวกนี้ จะคอยช่วยเหลือชาวไร่ ในการเฝ้าดูแลฝูงปศุสัตว์ เนื่องจากพวกมันช่วยชาวไร่ทำงานได้ดีมาก ดังนั้น เกือบทุกประเทศที่มีการเลี้ยงสัตว์ จะมีการพัฒนา สายพันธุ์สุนัขต้อนสัตว์ จนได้พันธุ์สุนัขประจำถิ่นของตนเอง เช่น คอลลี จากสก็อตแลนด์ พูลิ จากฮังการี และ คอร์กี้ จากเวลส์ เป็นต้น
สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความอดทน และแข็งแกร่ง จนสามารถช่วยมนุษย์ทำงานหนัก ๆ ได้ นอกจากนี้ ประเทศในเขตอากาศหนาวมาก ๆ ซึ่งการเดินทาง เป็นไปด้วยความยากลำบาก ยังใช้สุนัข เช่น อะลาสกัน มาลามูท, ไซบีเรียน ฮัสกี้ และ ซามอยด์ เพื่อเป็นพาหนะเดินทาง โดยสามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 160 กิโลเมตร ในเวลา 18 ชั่วโมง
สุนัขแต่ละตัวมักจะมีความสามารถเฉพาะอย่าง มนุษย์มักใช้สุนัขทำงานอีกหลายประเภท โดยสุนัขบางพันธุ์ถูกฝึกเพื่อทำงานเฉพาะอย่าง เช่น สุนัขเซนต์ เบอร์นาร์ดถูกฝึกให้ค้นหา และนำบรั่นดีไปให้กับผู้หลงทางในหิมะ เบอร์นีส เมาน์เทน ช่วยลากเลื่อนที่บรรทุกนมและเนยไปส่งที่ตลาด โปรตุกีส วอเทอร์ ด็อก ช่วยดำน้ำงมหาอวนและ เครื่องมือหาปลาที่ตกน้ำ หรือแม้กระทั่งปลาที่หลุดออกไปจากอวน นอกจากนี้ ยังมีสุนัขที่ทำหน้าที่ประหลาดที่สุด คือ สุนัขพันธุ์นอร์วีเจียน ลุนเดฮันด์ กลายเป็นสุนัขที่ใช่ในการล่านก โดยถูกฝึกมาให้ทำงานในถ้ำ หรือหน้าผาที่สูงชัน เพื่อจู่โจมกับรังนกพัฟฟินอีกด้วย
สุนัขตุ๊กตา
สุนัขตุ๊กตา (Toy Dogs) เป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ เดิมเป็นสุนัขตัวใหญ่ แต่ถูกพัฒนาพันธุ์จนกลายเป็นสุนัขตัวเล็ก สุนัขประเภทนี้เหมาะสำหรับ เลี้ยงไว้แก้เหงา มันสามารถแก้เหงาให้กับคนชราที่ถูกทอดทิ้ง คนป่วย รวมไปถึงเด็ก ๆ ให้หายจากความโดดเดี่ยวสุนัขตุ๊กตาถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อหลายพันปีมาแล้ว โดยเมื่อ 4,000 ปีก่อน สุนัขสิงโต (Lion Dogs) ที่หน้าตาคล้าย ๆ กับ สุนัขปักกิ่งในจีน และพบแลปด็อกส์ ที่โด่งดังในกลุ่มชาวโรมัน ในสมัยก่อนนั้น สุนัขตุ๊กตาเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้หญิง และเด็ก ๆ ในสังคมชั้นสูง
แม้ว่าสุนัขตุ๊กตาจะตัวเล็ก แต่มันก็ยังมีสัญชาตญาณของสุนัขอยู่ครบถ้วน มันพร้อมที่จะปกป้องเจ้านาย และบ้านที่มันอาศัยอยู่ โดยการเห่าเสียงดัง ๆ หรือร้องครวญคราง เพื่อเตือนเมื่อมีผู้บุกรุก และบางตัวอาจจู่โจมผู้บุกรุกก็มี
สุนัขแต่ละตัวมักจะมีความสามารถเฉพาะอย่าง มนุษย์มักใช้สุนัขทำงานอีกหลายประเภท โดยสุนัขบางพันธุ์ถูกฝึกเพื่อทำงานเฉพาะอย่าง
สุนัขอเนกประสงค์
สุนัขอเนกประสงค์ (Non Sporting) เป็นสุนัขนานาประโยชน์ตามแต่เจ้าของจะใช้งาน สุนัขพวกนี้หลาย ๆ พันธุ์มีผู้นิยมซื้อมาเลี้ยงกันมาก อย่างเช่น สุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยน เป็นต้น เนื่องจากเป็นสุนัขที่ประโยชน์ใช้สอยที่ไม่ธรรมดา สุนัขพันธุ์ลาซา แอพโซ เป็นสุนัขที่ลามะในธิเบตเลี้ยง ไว้เพื่อป้องกันภัย และถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ สำหรับสุนัขพันธุ์เชาเชา ซึ่งถือกำเนิดในมองโกเลียเมื่อ 3,000 ปีก่อน ในช่วงแรก ๆ เป็นสุนัขที่ถูกใช้ในสงคราม แต่ต่อมากลับถูกชาวจีนฆ่าเพื่อเป็นอาหาร และนำเอาขนของมันไปทำเครื่องนุ่งห่มลักษณะทางกายภาพ
การผสมพันธุ์สุนัขสมัยใหม่ได้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในเรื่องของขนาด รูปร่างหน้าตา และพฤติกรรมมากกว่าสัตว์เลี้ยงในบ้านชนิดอื่น ๆ สุนัขจะได้คุณสมบัติต่าง ๆ จากบรรพบุรุษของมัน ซึ่งก็คือหมาป่า สุนัขเป็นผู้ล่าและสัตว์ที่ชอบคุ้ยหาของตามกองขยะ มันมีฟันที่แหลมคมและฟันเขี้ยวที่แข็งแรงสำหรับจู่โจม จับถือและฉีกอาหารของพวกมัน แม้ว่าการผสมพันธุ์ที่เลือกไว้เพื่อขยายพันธุ์ได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของ การผสมพันธุ์ต่าง ๆ สุนัขทุกตัวจะจดจำคุณสมบัติต่าง ๆ จากบรรพบุรุษรุ่นแรก ๆ เหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่กินสัตว์เป็นอาหารอื่น ๆ ทั่วไป สุนัขมีกล้ามเนื้ออันทรงกำลัง กระดูกข้อเท้าที่ต่อเข้าด้วยกัน มีระบบหัวใจและหลอดเลือดที่ คอยช่วยให้สุนัขวิ่งได้ดีและมีความอดทนอดกลั้น และมีฟันที่ใช้สำหรับจับและฉีกอาหาร ไม่เหมือนกับมนุษย์ที่เดินด้วยฝ่าเท้า แต่สุนัขเดินด้วยฝ่ามือและฝ่าเท้าพร้อม ๆ กันชีววิทยา
ประสาทสัมผัส
การมองเห็น
หมาตาบอดสองสี เทียบเท่ากับตาบอดสีแดง-เขียวในมนุษย์สติปัญญาและพฤติกรรม
สุนัขแต่ละตัวและแต่ละสายพันธุ์ มีสัญชาตญาณของตนเอง นับตั้งแต่เริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลง จากสุนัขป่ามาเป็นสุนัขเลี้ยง ได้มีการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์สุนัขสืบทอดกันมามากกว่า 4,000 ชั่วอายุ ทำให้ลักษณะร่างกายของสุนัขหลายสายพันธุ์ เปลี่ยนแปลงไปจากบรรพบุรุษของพวกมันอย่างมาก แต่สุนัขแต่ละสายพันธุ์ยังคงรักษาลักษณะพฤติกรรมของสุนัขป่าที่มันเคยเป็น ไว้ได้ไม่มากก็น้อย ทั้งสุนัขป่าและสุนัขเลี้ยงมีวิธีสื่อสารโดยการเห่า การใช้ภาษากาย และสัญชาตญาณในการรวมกลุ่ม ทั้งนี้สุนัขมีพฤติกรรมให้การสร้างอาณาเขตของมัน เช่น การฉี่รดตามที่ต่าง ๆ เพื่อบอกว่าตรงนี้เป็นเจ้าของ และการเดินเป็นวงกลมก่อนนอนเพื่อกระจายกลิ่นตัวไปรอบ ๆ และกำหนดอาณาเขตไม่ให้สัตว์ตัวอื่นเข้ามารบกวนแมงมุม
แมงมุม
แมงมุม (อังกฤษ: Spider) จัดเป็นสิ่งมีชีวิตพวกสัตว์ขาปล้อง หรืออาร์โธพอด เช่นเดียวกับแมลง, กิ้งกือ, ปู
เป็นต้น จัดอยู่ในอันดับ Araneae (/อา-รัค-เน/) มีรูปทรง ลักษณะ
และขนาดแตกต่างหลากหลายกันออกไป บางชนิดมีลำตัวที่กว้างมาก
บางชนิดมีรูปร่างที่เพรียวยาว
ขณะที่บางชนิดกลับมีรูปร่างที่คล้ายกับสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น เช่น
มด หรือปู เพื่อใช้ในการพรางตัวโดยแมงมุมนั้นถูกค้นพบแล้วกว่า 40,000 ชนิด และก็ยังมีชนิดใหม่ ๆ ถูกค้นพบเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าจำนวนที่ถูกค้นพบนี้เป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวของ ทั้งหมดที่มีเท่านั้น โดยแมงมุมขนาดเล็กที่สุด พบที่โคลัมเบีย ในทวีปอเมริกาใต้ มีความยาวเพียง 0.4 มิลลิเมตรเท่านั้น และที่ชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ แมงมุมกินนกโกไลแอท มีความยาวลำตัว 12-13 เซนติเมตร หรือขนาด 25-33 เซนติเมตรเลยทีเดียว
แมงมุมพบได้ในแทบทุกภูมิภาคของโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งในทะเลทรายที่แห้งแล้งและร้อนอบอ้าว หรือในถ้ำลึก หรือภูเขาสูง หรือในน้ำ แต่ทั้งหมดเป็นสัตว์กินเนื้อ
แมงมุมกินอาหารจำพวก เพลี้ยอ่อน, ตัวหนอน, ผีเสื้อ, แมลงวัน, ยุง, ปลวก, ด้วง, มด เป็นตัน จึงมีความสำคัญในระบบนิเวศทางการเกษตร และระบบนิเวศทั่วไป โดยส่วนใหญ่เมื่อจะล่าเหยื่อจะสร้างใยเพื่อ เป็นรังอาศัย และดักเหยื่อ ในขณะที่บางชนิดไม่สร้างใยก็มี ซึ่งก็จะมีการใช้เส้นใยที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละชนิด ขึ้นอยู่กับรูปแบบการอยู่อาศัยของแมงมุมในแต่ละชนิดในพื้นที่นั้น ๆ[2]
มด
มด เป็นแมลงในวงศ์ Formicidae อันดับ Hymenoptera มดมีการสร้างรังเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ บางรังมีจำนวนประชากรมากถึงล้านตัว มีการแบ่งวรรณะกันทำหน้าที่คือ วรรณะมดงาน เป็นมดเพศเมียเป็นหมัน
ทำหน้าที่หาอาหาร สร้างและซ่อมแซมรัง ปกป้องรังจากศัตรู ดูแลตัวอ่อน
และงานอื่นๆ ทั่วไป เป็นวรรณะที่พบได้มากที่สุด วรรณะสืบพันธุ์
เป็นมดเพศผู้ และราชินี เพศเมีย มีหน้าที่สืบพันธุ์
เนื่องจากมดเป็นสัตว์ในวงศ์ Formicidae จึงสามารถผลิตกรดมดหรือกรดฟอร์มิกได้เป็นลักษณะเฉพาะของสัตว์ในวงศ์นี้
กายวิภาคของมด
โครงสร้างของมดนั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัวส่วนหนวด ส่วนท้องส่วนหัว
ส่วนหัวมดหนวด
หนวดของมดนั้นแตกต่างจากแมลงกลุ่มอื่น คือ หนวดของมดจะม้วนเข้าศอก เว้นแต่มดสายพันธุ์ Fomisintos ที่จะมีลักษณะการม้วนหนวดเหมือนแมลงชนิดอื่นๆ หนวดมด มีหน้าที่รับรู้สื่อสารและรายงานสถาณภาพต่างๆของบริเวณนั้นๆ ในการสื่อสารมดจะใช้หนวดมาสัมผัสกันเป็นการสื่อสารแบบ ลอย (Emando) หนวดของมดจะแบ่งออกเป็นปล้องๆ ซึ่งแล้วแต่ประเภท วรรณะของมด ซึ่งแบ่งออกดังนี้- มดราชินี (Queen Ant) มีหนวดประมาณ 210-254 ปล้อง
- มดเพศผู้ (Male Ant) มีหนวดประมาณ 117-163 ปล้อง
- มดเพศเมีย (Female Ant) มีหนวดประมาณ 131-155 ปล้อง
- มดงาน (Worker Ant) มีหนวดประมาณ 83 -117 ปล้อง
ตา
แบ่งได้เป็นสองประเภทคือ ตารวมและ ตาเดี่ยว- ตารวม คือ ตาที่มีอยู่เป็นคู่ อาจมีลักษะอื่นๆด้วย เช่น ตาเป็นมี ตา 2คู่ และไม่จำเป็นต้องอยู่บริเวณข้างหน้าเสมอไป มดส่วนใหญ่จะมีตาเป็นประเภทตารวม
- ตาเดี่ยว คือ ตาที่ไม่ใช่คู่ ส่วนใหญ่ จะมีสามตา และอยู่บริเวณล่างของหนวด
ปาก
ปากของมดจะมีอยู่สองลักษณะ คือ แบบกัดกิน (Thorix) และปากแบบลักษะดูด (Thorase)- ปากแบบกัดกิน จะมีลักษณะเป็นฟันสองซี่ จะคมมาก มีกรามที่แข็งแรงและขนาดใหญ่ เป็นส่วนที่เห็นชัดที่สุดรูปสามเหลี่ยม กึ่งสามเหลี่ยมหรือเป็นแนวตรงถือเป็นอวัยวะที่สำคัญในการจับเหยื่อและ ป้องกันตัว ทำให้มดส่วนใหญ่เป็นพวกกินสัตว์ พบได้ในมดงาน
- ปากแบบลักษณะดูด จะมีไว้สำหรับ ดูดน้ำหวาน ตามเกสร พบในมดเพศเมีย และมดราชินี
- ร่องพักหนวด เป็นร่วมหรือแอ่งยาวคล้ายรอยพิมพ์ อยู่บริเวณหน้าของส่วนหัว เป็นที่เก็บหนวดขณะที่ไม่ใด้ใช้ โดยทั่วไปมี 1 คู่ มีลักษณะแตกต่างกันตั้งแต่เป็นร่องตื้น ๆ ไปถึงร่องลึกเห็นชัดเจน บางชนิดไม่มีร่องพักหนวดนี้
ส่วนอก
ส่วนอกเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่าง ส่วนท้อง และส่วนหัว โดยมากจะเป็นทรงกระบอก อาจมีตุ่มหนามอยู่ด้วย เป็นส่วนที่สองของลำตัวมดเป็นรูปทรงกระบอก อกของมดจะไม่ใช้คำว่า thorax แต่จะใช้ alitrunk แทน เนื่องจากอกของมดประกอบด้วย อกปล้องแรก อกปล้องที่ 2 และอกปล้องที่ 3 แต่อกปล้องที่ 3 นี้จะรวมกับท้องปล้องที่ 1 ซึ่งเรียกว่า propodeum ส่วนอกจะเป็นที่ตั้งของส่วนขาและปีก (สำหรับราชินีและมดเพศผู้) มดงานจะมีส่วนอกปกติ ยกเว้นมดราชินีมีอกขนาดใหญ่กวา ปีกจะพบที่มดเพศผู้และมดเพศเมียเท่านั้น มดบางชนิดอกปล้องที่ 1 อกปล้องที่ 2 เชื่อมติดกันเชื่อมติดกัน เช่นเดียวกับอกปล้องที่ 3 กับปล้องที่ 1 มดบางชนิดสันหลังอกมีหนามหรือตุ่มหนาม บางชนิดอาจเป็นแผ่นคล้ายโล่ห์ ขาของมดส่วนมากค่อนข้างยาว ทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วว่องไวมาก ความยาวของขาและรูปร่างของมดนั้นจะถูกกำหนดโดยพฤติกรรมต่างๆส่วนท้อง
เป็นส่วนที่อยู่ท้ายสุดของมด บางชนิดจะแตกออกเป็น 2 ส่วน เรียกว่า Wasted twin ซึ่งมดบางชนิดอาจมีเหล็กใน และบางชนิดก็มีช่องไว้ปล่อยสารป้องกันตัว เป็นส่วนที่ 3 มดมี 1 หรือ 2ปล้องขึ้นอยู่กับกลุ่มมด อาจมี 1ปล้องคือ Petioleเป็นปล้องที่ 2 ของส่วนท้องอาจเป็นปุ่ม หรือแผ่น ส่วนถ้ามี 2 ปล้องคือ Petiole และ Postpetiole เป็นปล้องที่ 2กับปล้องที่ 3 Postpetiole อาจเป็นปุ่มหรือรูปทรงกระบอกก็ได้ มดบางชนิด petiole มีหนาม 1 คู่ ส่วนท้ายของลำตัว เรียก gaster โดยทั่วไปมีรูปร่างกลม แต่บางชนิดเป็นรูปหัวใจ หรือรูปทรงกระบอก ปลายส่วนท้องของมดงานส่วนใหญ่มีเหล็กไน บางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บปวดได้ สำหรับบางชนิดไม่มีเหล็กไน ก็จะเปิดเป็นช่อง สำหรับขับสารการจำแนก
ปัจจุบัน มีการค้นพบมดมากกว่า 12,000 ชนิด โดยพบมากในเขตร้อนของโลก เฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ประมาณว่ามีมด 1,300-1,500 ชนิด สำหรับในประเทศไทยเริ่มมีการศึกษามดอย่างจริงจังในปี ค.ศ. 1997 พบมดแล้วกว่า 700 ชนิด และคาดว่าอาจมีมากได้ถึง 1,000 ชนิด[1]โลมา

คำว่า "โลมา" ในภาษาไทย มีรากฐานมาจากคำว่า "ลูมบาลูมบา" (Lumba-lumba) ในภาษามลายู ในภาษาในทวีปเอเชียอื่น ๆ โลมามักมีการเปรียบเทียบกับหมู เช่น ในภาษาจีน โลมามีความหมายตรงตัวว่า "ลูกหมูทะเล" (海豚) และ ในภาษาเวียดนาม โลมามีความหมายตรงตัวว่า "ปลาหมู" (Cá heo)
ลักษณะ
โลมา อาศัยอยู่กระจัดกระจายทั่วไปในมหาสมุทรโดยทั่วไป ลักษณะของโลมาที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ มีรูปร่างเพรียวยาวคล้ายตอร์ปิโดหรือกระสวย ส่วนใหญ่มีปลายปากยื่นแหลม แต่ก็มีบางชนิดที่มีส่วนหัวกลมมนคล้ายแตงโมหรือบาตรพระ มีหางแบนในแนวนอน ไม่ใช่แนวตั้งเหมือนปลา เพื่อช่วยในการพุ้ยน้ำในแนวขึ้น-ลง ไม่มีขนปกคลุมลำตัว ไม่มีเกล็ด รวมทั้งไม่มีเมือกด้วย[3]นอกจากนี้แล้วยังมีมีอวัยวะต่าง ๆ ทุกส่วนเหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป หากแต่ละส่วนของอวัยวะจะปรับเปลี่ยนต่างไปจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป ดังนี้ จมูกของโลมามีไว้เพื่อหายใจ แต่จมูกนั้นต่างไปจากจมูกของสัตว์อื่น ๆ เพราะตั้งอยู่กลางกระหม่อมเป็นรูกลม เพื่อให้สะดวกต่อการเชิดหัวขึ้นหายใจเหนือน้ำ จากจมูกมีท่อหายใจต่อลงมาถึงปอดในตัว จึงไม่จำเป็นต้องให้น้ำผ่านเหงือกเข้าไปในปอดเพื่อช่วยหายใจเหมือนปลาหรือ สัตว์น้ำอย่างอื่น หูของโลมานั้นเป็นเพียงแค่รูขนาดเล็กติดอยู่ด้านข้างของหัวเท่านั้น มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถรับคลื่นเสียงใต้ น้ำได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะโลมาเหมือนวาฬตรงที่เป็นสัตว์ที่ติดต่อสื่อสารกันด้วยคลื่นเสียงที่ ปล่อยออกมา โดยเฉพาะกับภาษาที่โลมาสื่อสารกันด้วยเสียงที่มีคลื่นความถี่สูง โลมามีดวงตาไม่เล็กเหมือนอย่างวาฬ แววตาแจ่มใส เหมือนตาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทอื่น มีเปลือกตาปิดได้ และในเวลากลางคืนตาก็จะเป็นประกาย คล้ายตาแมว ตาของโลมาไม่มีเมือกหุ้มเหมือนตาปลา และมองเห็นได้ไกลถึง 50 ฟุต เมื่ออยู่ในอากาศ สีผิวของโลมาแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน ส่วนมากจะออกไปในโทนสีเทา ตั้งแต่เข้มเกือบดำ จนกระทั่งถึงเกือบขาว แต่โดยทั่วไปโลมาจะมีสีผิวแบบ 2 สีตัดกัน ด้านบน เป็นสีเทาเข็ม ด้านล่างเป็นสีเกือบขาว เพื่อพรางตัวในทะเล ไม่ให้ศัตรูเห็น เพราะเมื่อมองจากด้านบน สีเข็มจะกลืนกับสีน้ำทะเล และถ้ามองจากด้านล่างขึ้นไป สีขาวก็จะกลืนเข้ากับแสงแดดเหนือผิวน้ำ
โลมาถือเป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว มีอัตราความเร็วในการว่ายน้ำประมาณ 55-58 กิโลเมตร/ชั่วโมง[4]
สติปัญญา
โลมานั้นเป็นสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาดมาก เชื่อว่า ความฉลาดของโลมานั้นเทียบเท่าเด็กตัวเล็ก ๆ เลยทีเดียว หรือเป็นไปได้ว่าอาจจะฉลาดกว่าชิมแปนซี ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุดด้วยซ้ำ ที่เป็นเช่นนี้เพราะโลมามีขนาดของสมองเมื่อเทียบกับลำตัวแล้วนับว่าใหญ่มาก แถมภายในสมองยังซับซ้อนอีกด้วย โดยเฉพาะโลมาปากขวดนั้นถึงกับมีขนาดของสมอง เมื่อเทียบกับลำตัวใหญ่แล้ว ถือเป็นสัตว์ที่มีขนาดสมองใหญ่เป็นที่สองรองจากมนุษย์[5] และสมองส่วนซีรีบรัม อันเป็นส่วนของความจำและการเรียนรู้ ก็มีขนาดใหญ่มาก เป็นศูนย์รวมของประสาทการรับกลิ่น, การมองเห็น และการได้ยิน จนอาจเชื่อได้ว่าแท้จริงแล้ว โลมาอาจมีความฉลาดเทียบเท่ากับมนุษย์ก็เป็นได้ ซึ่งจากความฉลาดแสนรู้ของโลมา จึงทำให้เป็นที่นิยมนำมาฝึกแสดงโชว์ต่าง ๆ ตามสวนสัตว์และสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ [6]นอกจากนี้แล้ว โลมายังเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมชอบช่วยเหลือมนุษย์ยามเมื่อเรือแตกหรือใกล้จะ จมน้ำ ทั้งนี้เพราะโลมาเป็นสัตว์ที่รักสนุกและขี้เล่น ที่โลมาช่วยชีวิตมนุษย์อาจเป็นเพราะต้องการเข้ามาเล่นสนุกเท่านั้น หรือไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่มักจะดุนลูกขึ้นไปหายใจบน ผิวน้ำอยู่เสมอ โดยเฉพาะถ้าลูกโลมาเสียชีวิตระหว่างคลอด จะพบว่าแม่โลมาจะพยายามดุนศพลูกเอาไว้ให้ใกล้ผิวน้ำมากที่สุด[7] โดยปกติแล้ว เนื้อโลมาไม่ใช่อาหารหลักเหมือนสัตว์เศรษฐกิจทั่วไป แต่ก็มีบางประเทศ อาทิ ญี่ปุ่นนิยม บริโภคเนื้อโลมาและวาฬ เดิมญี่ปุ่นนั้นล่าวาฬเป็นหลัก แต่ต่อมาได้มีการอนุรักษ์และกฎหมายที่เข้มงวดขึ้น จึงหันมาล่าโลมาแทน โดยเพิ่มปริมาณการล่าโลมาขึ้นเป็นสี่เท่า ทำให้โลมาในทะเลญี่ปุ่นลดน้อยลงเป็นอันมาก[2]
ฟิลิปป์ ลาห์ม
![]() |
หลังจบฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเยอรมนีที่มีลาห์มเป็นกัปตันทีมได้แชมป์โลก ลาห์มได้ลงเล่นเป็นตัวจริงทุกนัดและไม่เคยถูกเปลี่ยนตัวออกเลย ลาห์มในวัยเพียง 30 ปี ประกาศยุติการเล่นให้กับทีมชาติเพื่อเปิดโอกาสให้นักฟุตบอลรุ่นหลังขึ้นมา แทนที่ ทั้งที่ลาห์มในขณะนั้นได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง[1]
โรนัลโด้
ประวัติโรนัลโด้
คริสเตียโน โรนัลโด เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ที่เกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส เป็นบุตรชายของนายฌูแซ ดีนิช อาไวรู (เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2548 ขณะมีอายุ 52 ปี) กับนางมารีอา ดูโลรึช อาไวรู เป็นบุตรชายคนเล็กในพี่น้อง 4 คน ถึงแม้ตอนเกิดเขาจะคลอดก่อนกำหนดแต่ก็มีน้ำหนักสมบูรณ์ถึง 8 ปอนด์ ทวดฝ่ายมารดาของเขา อีซาเบล ดา ปีดาดึ มีพื้นเพมาจากประเทศกาบูเวร์ดี (เคปเวิร์ด)[7]ที่มาของชื่อโรนัลโดนั้น บิดาของเขาเป็นผู้ตั้งให้ โดยได้แรงบันดาลใจจากชื่อของนายโรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบุคคลที่บิดาของโรนัลโดชื่นชอบตั้งแต่เรแกนยังเป็นนักแสดงอยู่[8]
ครอบครัวของโรนัลโดอาศัยอยู่ที่ย่านกิงตาดูฟัลเซา เขตซังตูอังตอนีอูของเมืองฟุงชาล ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรยากจนอาศัยอยู่มาก โรนัลโดเริ่มเล่นฟุตบอลที่นี่ ซึ่งในตอนเด็กเขาจะชอบเล่นฟุตบอลมาก บริเวณตามถนน พอตอนเขาอายุ 6 ขวบ เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังในทีมชุดใหญ่ของทีมอังดูริญญา (Andorinha) โดยการชักชวนของญาติเขาที่อยู่ในทีมนี้ พอถึงปี พ.ศ. 2538 โรนัลโดย้ายไปอยู่กับทีมนาซีอูนัล (Nacional) โดยมีการจ่ายค่าตัวเป็นชุดฟุตบอลและลูกบอล[9]
นักฟุตบอลเยาวชน
ในช่วงที่โรนัลโดอายุ 8 ขวบ โรนัลโดได้เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลอังดูริญญา ซึ่งพ่อของเขาเป็นผู้จัดการทีมของสโมสรแห่งนี้ ในปี ค.ศ. 1995 โรนัลโดได้ทำสัญญากับสโมสรฟุตบอลท้องถิ่นคือ สโมสรฟุตบอลนาซีอูนัล และได้เล่นให้กับสโมสรนี้เป็นเวลา 5 ปี แล้วได้ย้ายไปอยู่กับสปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล (สปอร์ติงลิสบอน) ในช่วงปี ค.ศ. 1997 และได้สำเร็จการเล่นฟุตบอลเยาวชนให้กับในประเทศของตนนักฟุตบอลอาชีพ
สปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล
ในปี ค.ศ. 2002 โรนัลโดในวัย 17 ปีได้ย้ายมาเล่นให้กับสปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล (สปอร์ติงลิสบอน) เนื่องจากในช่วงนั้นสโมสรฟุตบอลชื่อดังในโปรตุเกสได้เห็นความสนใจของโรนัลโดมากแต่เขาเลือกที่จะมาอยู่กับ สปอร์ติงลิสบอน โดยโรนัลโดได้ลงเล่นเป็นตำแหน่งกองหน้า และได้มีโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงเยอะ โรนัลโดโชว์ฝีเท้าได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นการหลบหลีกคู่ต่อสู้ การแย่งชิงบอล การยิงจากระยะไกล และการทำประตูอย่างแม่นยำ ทำให้โรนัลโดในช่วงนั้นโด่งดังไปทั่วในทวีปยุโรป และโรนัลโดมีจุดเด่นที่มีทักษะในการครองบอลและมีความคล่องตัวสูง ด้วยจุดนี้เอง ทำให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมชื่อดังของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ได้สนใจที่จะนำโรนัลโดมาร่วมทีม ซึ่งการเจรจาซื้อตัวโรนัลโดก็เป็นที่สำเร็จ โดยก่อนที่โรนัลโดจะออกจากประเทศโปรตุเกส โรนัลโดเล่นให้กับสปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล ไปแล้วทั้งสิ้น 31 นัด ทำไป 5 ประตูแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ฤดูกาล 2003-2006
โรนัลโดได้ย้ายมาอยู่กับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 12.5 ล้านปอนด์ ในฤดูกาล 2002–03 โรนัลโดใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ลีก และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพกับมิลล์วอลล์ ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Sir Matt Busby Player of the Year) ประจำฤดูกาล 2003/04 โรนัลโดกับการพาทีมชาติโปรตุเกสผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในศึกยูโร 2004 ก่อนพ่ายให้กับ กรีซ 0 - 1ในฤดูกาลที่ 2 ของโรนัลโดกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ฟอร์มไม่ดีเท่ากับปีแรก หลังจากที่จบฤดูกาลด้วยการลงสนาม 50 นัด แต่ทำได้แค่ 9 ประตู ในฤดูกาล 2005/06 โรนัลโดก็เรียกฟอร์มเก่งของตัวเองมาได้อีกครั้งในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง ด้วยการทำ 12 ประตู จากการลงสนาม 47 นัด
โรนัลโดคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของฟิฟโปร (FIFPro Special Young Player of the Year 2005) ซึ่งเป็นรางวัลเดียวที่ให้แฟน ๆ เป็นผู้ลงคะแนนโหวตตัดสิน และในปีเดียวกันเขาก็ได้อันดับที่ 20 ในตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าด้วย
ฤดูกาล 2006–2009
ในศึกฟุตบอลโลก 2006 โรนัลโดถูกแฟนบอลอังกฤษรุมโห่ไล่หลังจากที่มีส่วนทำให้เวย์น รูนีย์ เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ต้องถูกไล่ออกในเกมที่อังกฤษพบกับโปรตุเกส โรนัลโดถูกสื่อในอังกฤษกดดันและต่อว่า อย่างไรก็ดีโรนัลโดยังคงเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[10]เมษายน 2007 คริสเตียโน โรนัลโด คว้ารางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมและผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปี 2007 ของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษหรือ พีเอฟเอไปครอง โดยเป็นผู้เล่นรายที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้ารางวัลเกียรติยศทั้งสองมาครอบครองในเวลาเดียว กัน หลังโชว์ฟอร์มสุดยอดมาตลอดฤดูกาลนี้โดยก่อนหน้านี้ แอนดี เกรย์ เคยทำได้เมื่อปี 1977 หรือ ราว 30 ปีก่อน[11]
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 2009 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยอมรับว่า ได้รับข้อเสนอการซื้อตัวจากสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดด้วย ค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งก็ปรากฏว่าโรนัลโดก็มีความต้องการที่จะออกจากสโมสรเช่นกัน โดยเขาได้ตกลงย้ายออกไป การซื้อตัวครั้งนี้ถือเป็นสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลก[12]
โดยผลงานของโรนัลโดได้ลงเล่นเป็นตัวจริง 299 นัด ทำประตูได้ 118 ประตู
เรอัลมาดริด
ฤดูกาล 2009-10

โรนัลโดกำลังเลี้ยงลูกฟุตบอลหนีเดียโก ฟอร์ลัน ในนัดที่เจอกับ สโมสรฟุตบอลอัตเลตีโกมาดริด ในช่วงฤดูกาล 2009-10
ฤดูกาล 2010-11

โรนัลโดกับแกเร็ธ เบล ในนัดยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2010-11
ฤดูกาล 2011-12
ความสำเร็จและการพัฒนาของโรนัลโดในช่วงอยู่กับเรอัลมาดริดเริ่มดีขึ้น โดยโรนัลโดซัดประตูในฤดูกาลนี้ไป 60 ประตู (รวมทุกรายการ) และได้เล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกไปจนถึงรอบรองชนะเลิศ แต่ก็แพ้ สโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิก ไป 3-1 (ดวลจุดโทษ) แต่โรนัลโดก็สามารถนำทีมได้แชมป์ลาลีกา ได้เป็นครั้งที่ 32 ของสโมสร โดยในช่วงปลายฤดูกาล เรอัลมาดริดกับบาร์เซโลนาได้แข่งขันกันที่กัมนอว์ ในนัดที่ 2 ซึ่งโรนัลโดก็เป็นฮีโรโดยเขาได้ยิงประตูชัยสุดสำคัญในการนำทีมเรอัลมาดริดคว้าแชมป์ลาลีกาด้วยการชนะสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ไป 2-1 ที่กัมนอว์ และจบอันดับ 1 ของ ตาราง มี 100 คะแนน ซึ่งเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของโลกที่ทำคะแนนได้สูงสุดทีมชาติ

โรนัลโดลงเล่นในนัดที่เจอกับบราซิล
ยูโร 2004
โรนัลโดได้ถูกเรียกตัวไปไปเล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004[14] ประตูแรกในนามทีมชาติชุดใหญ่ของเขาคือตอนที่โปรตุเกสชนะกรีซไป 2-1 ในรอบแบ่งกลุ่ม [15] และจากนั้นก็ยิงประตูต่อในนัดรอบก่อนรองชนะเลิศที่โปรตุเกสเจอกับเนเธอร์แลนด์ ซึ่งโปรตุเกสชนะไป 2-1[16] เขาได้เป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของทีมนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำแห่งฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปของการแข่งขันแม้จะยิงได้เพียงแค่ 2 ประตู.[17]นอกจากนี้เขายังเป็นตัวแทนของทีมชาติโปรตุเกสในโอลิมปิกฤดูร้อน 2004[18][19]ฟุตบอลโลก 2006
โรนัลโดได้เป็นรองดาวซัลโวในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ในโซนยุโรปด้วยการยิงไป 7 ประตู[17] และประตูแรกของเขาในฟุตบอลโลก คือนัดที่พบกับอิหร่าน ด้วยการยิงลูกโทษ[20] เมื่อมาถึงรอบคัดเลือกรอบสุดท้าย ได้พบกับอังกฤษในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 โรนัลโดได้พบเพื่อนร่วมทีมจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งก็คือ เวย์น รูนีย์ และรูนีย์ได้ไปทำฟาวล์ใส่กองหลังทีมชาติโปรตุเกสซึ่งคือ รีการ์ดู การ์วัลยู สื่ออังกฤษสันนิษฐานว่าโรนัลโดมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ตัดสินโอราซีโอ เอลีซอนโด โดยอุกอาจบ่นหลังจากที่เขาได้เห็นตรงม้านั่งสำรองของทีมชาติโปรตุเกสหลังจาก การไล่รูนีย์ออก หลังการแข่งขันโรนัลโดยืนยันว่ารูนีย์เป็นเพื่อนของเขาและว่าเขาไม่ได้เป็น คนที่เกี่ยวกับการไล่รูนีย์ออกจากสนาม[21] วันที่ 4 กรกฎาคม อริซอนโดได้บอกกับทางสื่อว่าการที่เขาแจกใบแดงให้รูนีย์เพราะเป็นการทำผิด ของกฎฟุตบอลเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรนัลโดเลย[22]หนังสือพิมพ์ของประเทศอังกฤษ ได้ประกาศข่าวร้ายของโรนัลโดเนื่องจากในข่าวบอกว่าเขาจะออกจากสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจากเหตุใบแดงของรูนีย์[23] และเขาได้ถูกกล่าวลงในหนังสือกีฬาประจำวันของประเทศสเปนว่าเขาจะย้ายไปอยู่กับเรอัลมาดริด[24]และเมื่อเฟอร์กูสันผู้จัดการทีมได้ทราบเขาเลยส่งผู้ช่วยการ์ลุช ไกรอช เพื่อมาพูดคุยกับโรนัลโดเพื่อเปลี่ยนความคิดของเขาในการย้ายจากสโมสรเพราะเหตุการณ์ของรูนีย์[25][26] โรนัลโดตัดสินใจอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และทำสัญญาใหม่ของเขาเป็นเวลา 5 ปี ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2007[27]
โรนัลโดถูกโห่ในระหว่างการแข่งขันโปรตุเกสกับฝรั่งเศสในรอบก่อนรองชนะเลิศซึ่งโปรตุเกสได้แพ้ไป[28] และพลาดรางวัลผู้เล่นของการแข่งขันที่ดีที่สุด.[29] แม้ว่าการโหวตออนไลน์รับผลกระทบเพียงกระบวนการสรรหา กลุ่มศึกษาทางเทคนิคของฟีฟ่าได้รับรางวัลเกียรติยศของเยอรมนีไปให้ลูคัส โพดอลสกี โดยอ้างว่าพฤติกรรมของโรนัลโดเป็นปัจจัยในการตัดสินใจ[30]
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ประวัติ เนย์มาร์
เนย์มาร์
เนย์มาร์ ดา ซิลวา ซังตุส ฌูนีโอร์ (โปรตุเกส: Neymar da Silva Santos Júnior; เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992) หรือรู้จักกันในชื่อ เนย์มาร์ เป็นนักฟุตบอลชาวบราซิล ปัจจุบันเล่นอยู่กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาและฟุตบอลทีมชาติบราซิลในตำแหน่งกองหน้าในฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ ในการแข่งขันรอบแรกนัดสุดท้าย เนย์มาร์เป็นผู้ยิงประตูแรกให้แก่บราซิล ที่พบกับแคเมอรูนในนาทีที่ 17 ซึ่งประตูนี้นับเป็นประตูที่ 100 ของทีมชาติบราซิล และนับเป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดที่ 100 ของบราซิลอีกด้วย[2]
แต่ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่บราซิลพบกับโคลอมเบีย แม้บราซิลจะเป็นฝ่ายชนะไป 2-1 ซึ่งเนย์มาร์ก็สามารถทำประตูได้ด้วย แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังถึงขั้นร้าวเมื่อปะทะกับฮวน กามีโล ซูญีกา กองหลังของโคลอมเบียที่กระโดดเข้าใส่ที่หลัง ทำให้ต้องหยุดเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ ซึ่งในรอบต่อมาบราซิลก็เป็นฝ่ายแพ้ต่อเยอรมนีไปถึง 1-7 ประตู ทำให้หมดสิทธิที่จะผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ
ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2014 เนย์มาร์ ได้ยิง 2 ประตูแรกในลาลีกา ฤดูกาล 2014–15 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ แอทเลติกบิลบาโอ 2-0 ต่อมา ในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2014 เนย์มาร์ ทำประตูที่ 3 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เลบันเต 5-0 ต่อมา ในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2014 เนย์มาร์ ทำแฮตทริกให้กับบาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ กรานาดา 6-0 ต่อมา ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 2014 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 เนย์มาร์ ทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่ปาร์กเดแพร็งส์ 2-3

เนย์มาร์ ลงเล่นให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่เจอกับ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ
ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ บาร์เซโลนา เจอกับ ยูเวนตุส ที่สนามโอลึมเพียชตาดิโยน ในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เนย์มาร์ ทำประตูที่ 10 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ ยูเวนตุส 3-1 คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 5 มาครอง พาทีมคว้าทริปเปิลแชมป์ได้สำเร็จ จบฤดูกาล 3 ประสาน MSN (เมสซี่, ซัวเรซ และ เนย์มาร์) ยิงประตูรวมทั้งหมด 122 ประตู ทำลายสถิติ 118 ประตูของ เรอัล มาดริด (คริสเตียโน โรนัลโด, กอนซาโล อีกวาอิน และ การีม แบนเซมา ในฤดูกาล 2011-12)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)